รามเกียรติ คลังภูมิปัญญาสยาม ตอนที่ ๕ ศึกจอมพาล
มาจะกล่าวบทไปถึงนนทกาลยักษา ผู้เป็นนายทวารยืนเฝ้าประตูไกรลาส อยู่เดียวเปลี่ยวกายมาหมื่นปี (แปลว่านานแสนนาน ไม่ได้แปลว่า ๓,๖๕๐,๐๐๐ วัน ตรงนี้เป็นกวีโวหารที่เรียกว่าอติพจน์ ฝรั่งเรียก hyperbole แปลตรงตัวว่าการกล่าวเกินจริง แปลแบบครูหนอนฯ ว่าเว่อร์แบบกวี รามเกียรติ์ใช้โวหารนี้บ่อยมาก ฉะนั้นอย่าพาซื่อฮิ) อยู่มาวันหนึ่ง เห็นนางมาลีเดินออกมาเก็บดอกไม้ตามกิจวัตรประจำวัน ยักษีก็เดินตามไปแอบหลังต้นไทร ดูนางนั่งร้อยมาลัย แล้วเกิดอาการ
ยิ่งพิศยิ่งพิศวาสกลุ้ม ให้เร่าร้อนรึงรุมดั่งเพลิงจี่
อสุราจึงเด็ดดอกไม้ทิ้งให้ ฝ่ายนางมาลีตกใจหวีดร้อง ชะแง้แลดูรอบอุทยาน พอเห็นยักษ์นนทกาล นางก็โกรธเกรี้ยว หยิบดอกไม้นั้น รีบเดินไปทูลฟ้องพระอิศวร ครั้นพระศุลีทรงสดับก็ตรัสสั่งจิตุบทให้เร่งไปเอาตัวผู้ต้องหามา พอมาถึงก็สอบปากคำจนได้ความแน่ชัด จึงบริภาษด่าว่า “ไอ้ยักษ์ไยไม่เจียมตัวบังอาจเกี้ยวพานางในผู้เป็นข้ารับใช้ใกล้ชิด” แล้วทรงสาปนนทกาลเป็นควายป่าชื่อทรพา ต่อเมื่อถูกลูกตัวผู้ชื่อทรพีฆ่า จึงพ้นชาติเดียรัจฉานกลับมาเป็นนายทวารดังเดิม
นนทกาลจำระเห็จจากสวรรค์ ลงมาเป็นควายเผือกทรพาอยู่ในป่า แม้จะต่ำศักดิ์เป็นชาติเดียรัจฉาน ทว่ามีเมียเป็นฝูง ๆ จึงไม่คิดกลับชั้นฟ้า เมียตัวไหนตกลูกเป็นตัวผู้ก็ฆ่า ทั้งยังคอยกันไม่ให้กระบือผู้ตัวอื่นเข้าปะปน มีตนเป็นตัวผู้แต่ผู้เดียวอยู่ในฝูง
ทรพาจึงเป็นภาพเปรียบผู้นำที่ลุ่มหลงอำนาจ มัวเมาเสพสุข ทั้งยังเป็นเผด็จการคอยเกียดกันไม่ให้ใครทัดเทียมตน
กาลผ่านไป นางนิลากาสรตั้งท้อง จึงคิดว่าถ้าคลอดลูกเป็นตัวผู้ก็ต้องตาย เลยหนีจากหมู่มหิงสาไปคลอดลูกในถ้ำ ได้ลูกดำปลอดตัวผู้สมคิด พอให้ลูกกินนมเสร็จก็เล่าความ แล้วว่า “แม่อยู่นานไม่ได้ หากพ่อเจ้าล่วงรู้ จะพากันตายทั้งแม่ทั้งลูก” จากนั้นวิงวอนฝากฝังลูกกับเทพไททุกสิงขร เทวาในถ้ำได้ฟังก็เห็นใจ มีใจกรุณาช่วยอารักษ์ทรพี ทั้งหกองค์เข้าสถิต ๒ เขากับ ๔ บาทา
ทรพีจำเริญวัยตัวใหญ่ขึ้นทุกวัน ครั้นคิดว่ามีกำลังพอสู้พ่อได้ก็สะกดรอยทรพา แล้ววัดรอยตีนเห็นขนาดใหญ่เท่ากัน (สำนวน วัดรอยตีนหรือวัดรอยเท้า น่าจะมีที่มาจากตอนนี้) จึงมั่นใจยิ่งขึ้น ไปแอบซุ่มพุ่มไม้รอพ่อ
พอทรพากับฝูงผ่านมา ทรพีสกัดทางขวางหน้า ร้องว่า “รู้จักเราหรือไม่ ทรพา ตัวท่านใจบาปหยาบช้า ฆ่าลูกตัวตายเสียนักต่อนัก เราผู้บุตรหมายมาจะสังหารท่าน”
แล้วทำสงครามปากข่มขวัญกัน ๑ หน้าเต็ม ๆ แต่ทำสงครามเขาขวิดกันแค่ ๔ คำกลอน (๘ วรรค) ทรพาก็ม้วยชีวา
ลูกทรพีจึงกลายเป็นสำนวนหมายถึงลูกอกตัญญูผู้ทำร้ายพ่อแม่
นอกจากนี้ ทรพียังเป็นภาพเปรียบลูกน้องใกล้ชิดผู้พิชิตเผด็จการ แล้วกระทำซ้ำรอยนาย เพราะหลังฆ่าทรพา สิ่งแรกที่ทรพีทำก็คือการสมสู่กับเมีย ๆ พ่อทั้งฝูง
หลังจากเสพสมสุขสมก็กำเริบฤทธิ์ หลงตนว่าเก่งกล้ากว่าใคร เที่ยวร้องท้าไปทั่ว เริ่มจากที่ป่าหิมพานต์ “เหวยเหวยเทวา ใครมีศักดามาสู้กัน”
เจ้าป่าได้ฟังก็รำพึงว่าไอ้นี่เป็นแค่ควาย จะลดตัวลงไปฆ่ามันย่อมไม่คู่ควร หนำซ้ำถ้าสู้แพ้มันก็จะขายหน้าไปทั้งสิบทิศ หลังขบคิดถี่ถ้วน จึงตอบว่า “ตัวเราไม่มีฤทธิไกร ถ้าท่านใคร่จะชิงชัยก็จงไปเบญจบรรพต”
ทรพีตะบึงไปถึงก็เข้าขวิดภูเขา แล้วร้องท้า “เหวยเหวยเทเวศ ลือกันว่ามีฤทธิ์เดช เก่งจริงก็มาสู้กับกูผู้เก่งกาจ”
เทวาทั้งห้าผู้อารักษ์ภูเขาคิดเช่นเดียวกับเจ้าป่าหิมพานต์ ไล่ทรพีให้ไปสู้กับพระสมุทร กระบือหนุ่มบึ่งไปถึง โจนลงสมุทรขวิดน้ำอุตลุด แล้วร้องท้าเช่นเคย พระสมุทรก็ไม่สู้เช่นกัน แต่บอกให้ไปเขาไกรลาส มหิงสาฉกรรจ์จึงห้อไปร้องท้าพระอิศวร เจ้าโลกาตรัสบริภาษและสาปว่า
เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ทรพี มาอวดอ้างฤทธีว่ากล้าหาญ
ตัวมึงหยาบใหญ่ใจพาล ไอ้ชาติเดียรฉานทรลักษณ์
ฆ่าพ่อตัวตายแล้วมิหนำ จะซ้ำเอาคอมารอจักร
มึงจะสู้กูไม่คู่พักตร์ แม้นรักจะใคร่ราวี
เอ็งจงรีบไปยุทธยง ด้วยพาลีลูกองค์โกสีย์
ให้มึงสิ้นชีพชีวี ด้วยฤทธีพญาพานร
แล้วจงไปเอากำเนิด บังเกิดเป็นบุตรพญาขร
ชื่อมังกรกัณฐ์ฤทธิรอน ให้ตายด้วยศรพระจักรา
ทรพีต้องคำสาปจึงอาละวาดขวิดเขาไกรลาส ระบายโทสะเสร็จก็ตรงไปขีดขินนคร วิ่งเข้าสวนชนต้นไม้หักโค่น เจอลิงตัวไหนขวางหน้าเป็นขวิดดะ จนมาถึงหน้าพระลานก็ร้องท้าและคุยโวว่า “เหวยเหวยเจ้ากรุงขีดขิน ลือกันว่าเก่งนัก แน่จริงมาสู้กับกูผู้มีฤทธิ์ เทวาหน้าไหนยังไม่กล้าสู้ แม้กระทั่งพระอิศวร”
พาลีได้ยินกาสรร้องท้า คว้าพระขรรค์โจนลงจากปราสาทแก้วเข้าราวีทันที
ตรงนี้สะท้อนนิสัยเผด็จการจอมพาลแห่งยุค ใคร ๆ ก็ไม่ยอมลดตัวลงไปสู้กับกระบือ ทว่าพวกเผด็จการชอบอวดฤทธิ์ หากมีโอกาสสำแดงศักดาย่อมไม่รีรอ
มหิงสากับวานรสู้กันตั้งแต่เช้ายันเย็น พญาลิงคิดว่าควายตัวนี้เก่งกว่าทศกัณฐ์เสียอีก จะฆ่ามันในที่โล่งคงไม่ได้ที ควรลวงไปชิงชัยในถ้ำ เราเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกว่าย่อมสังหารมันสำเร็จ คิดแล้วจึงบอกนัดสู้กันใหม่พรุ่งนี้ที่ถ้ำแก้วสุรกานต์
แทรกหน่อย แก้วสุรกานต์เป็นคำสร้อย ไม่ใช่ชื่อเฉพาะเน้อ บางครั้งใช้สั้น ๆ ว่าสุรกานต์ หรือใช้ยาว ๆ ว่า สุรกานต์รูจีก็มี คำนี้พบบ่อย มีทั้งที่เป็นคำสร้อยรถทรง อาวุธ เกราะ พระแท่น ฯลฯ ซึ่งแปลว่าเป็นคำที่ใส่ เข้ามาเพื่อให้ได้เสียงไพเราะ ไม่ได้แปลว่าเป็นที่รักของเทวดาตามที่ตำราแปลไว้ ข้าน้อยก็รู้ว่า สุร แปลว่าเทวดา กานต์ แปลว่าเป็นที่รัก แต่ที่ไม่แปลเช่นนั้น เนื่องจากคำนี้ใช้เป็นคำสร้อยปราสาท รถทรง จักร และอื่น ๆ อีกมากมายของทศกัณฐ์ด้วย ซึ่งเหล่าเทวดาล้วนเคียดแค้นทศพักตร์ดังที่ครูหนอนฯ เล่าความในตอนที่ ๔ แล้วจะแปลสุรกานต์ว่าเป็นที่รักของเทวดาได้จะใดเจ้า
จากนั้นลูกท้าวโกสีย์กลับเมืองไปสั่งความสุครีพว่า “กาสรตัวนี้ฤทธิ์มาก พรุ่งนี้พี่จะลวงมันไปฆ่าในถ้ำ หากเจ็ดวันยังไม่กลับ เจ้าจงไปดูที่ปากถ้ำ ถ้าเห็นเลือดข้นเป็นเลือดควาย แต่ถ้าเลือดใสเป็นเลือดพี่ เจ้าจงเร่งไพร่พลให้รีบขนหินไปปิดปากคูหา อย่าให้ใครมาพบเห็น” สั่งเสร็จเสด็จเข้าที่ไสยา
เนื้อความตอนนี้เห็นชัดว่าพาลีกลัวขายหน้า ตายเพราะสู้แพ้ควายย่อมอายไปถึงสวรรค์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจหักห้ามความใคร่แสดงฤทธิ์เดช จึงลดตัวลงไปสู้กับกระบือต่อ
ศึกวันลิงควายเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พอเผชิญหน้าก็ไม่ประคารมเหมือนคู่อื่น ๆ ทั้งคู่รีบเข้าถ้ำไปสู้กันทันที สัประยุทธ์กัน ๗ วันยังไม่มีฝ่ายใดได้ชัย พาลีฉุกคิดว่ามหิงสาตัวนี้ไม่ธรรมดา ท่าจะมีเทวาคอยอารักษ์ จึงถอยฉาก แล้วร้องถามความ
ฝ่ายทรพีใจหยาบทะนงตน เสียงกร้าวว่า “ไม่มีเทวาหน้าไหนสิงสู่หรอก กูมีฤทธิ์เองด้วยสองเขา และจะขวิดเอาชีวิตมึง”
ลูกพระอินทร์ได้ที รีบร้องบอกเทเวศ “ไอ้ควายตัวนี้ช่างอกตัญญู ไม่ได้รู้คุณท่านที่เลี้ยงดู กลับกล่าวลบหลู่ ท่านอย่าสถิตอยู่คุ้มครองมันอีกเลย เชิญกลับไปสำราญยังทิพพิมานชั้นฟ้าดีกว่า”
ทรพีจึงเป็นคำเปรียบอีกความหมายหนึ่งว่าคนอกตัญญู ไม่รู้คุณผู้ชุบเลี้ยงตน
เทวัญทั้งหกฟังแล้วคล้อยตามว่าจริงทุกสิ่งดังพญาลิงว่า จึงพากันออกจากร่างกาสร เหาะไปวิมาน
พาลีรีบฉวยโอกาสเข้ารุกไล่ ทั้งเท้าถีบพระขรรค์แทงจนทรพีอ่อนแรงเลือดไหลโซมกาย เนื่องจากเมื่อไม่มีเทวาอารักษ์ เรี่ยวแรงของตนก็เลยหายไปครึ่งหนึ่ง และส่วนนั้นไปเพิ่มกำลังให้เจ้ากรุงขีดขิน ตามที่ได้พรจาก พระศุลี ลูกท้าวสหัสนัยน์จึงฆ่ามหิงสาสำเร็จ เหล่าเทวาเห็นดังนั้นก็ยินดี บันดลสายฝนโปรยปรายไปทั่ว
กล่าวฝ่ายสุครีพเห็นท่านพี่ยังไม่กลับตามกำหนด จึงชวนหลานองคตกับทวยหาญไปตามหา พอมาถึงที่ปากถ้ำเห็นเลือดใสจางก็ตกใจ คิดว่าพี่ถูกควายขวิดตาย เลยร่ำไห้โศกา พาหลานและบ่าวร้องระงมตาม ไม่มีใครเฉลียวใจว่าคืนก่อนฝนตก (ถ้าหนุมานชาญฉลาดยังอยู่คงไม่เกิดเรื่อง ทว่าลูกพระพายลาออกไปอยู่ป่าก่อนหน้านี้ เพราะเห็นว่าพาลีเป็นเจ้านายไม่เอาไหน เอาแต่เมียคนอื่น) จึงช่วยกันเร่งขนก้อนหินมาปิดปากถ้ำตามคำสั่งเจ้ากรุงขีดขิน พอเสร็จสรรพก็กลับเข้าพารา
หลังฆ่าทรพีและฟังคำเทวาอำนวยพร พาลีตัดหัวกระบือขึ้นคอนบ่า (คงตั้งใจเอากลับไปประดับผนัง อวดแขกไปใครมาว่ากูเก่ง กูเก่ง สู้ชนะควาย) แต่พอมาถึงปากคูหาเห็นหินปิดมิดก็โกรธา ขว้างหัวกระบือไปเปิดช่องให้พอตัวลอดออกจากถ้ำ รีบเร่งกลับเมือง
ไปถึงด่าแหลก พร้อมทั้งยัดเยียดข้อหาแก่น้องชายว่าคิดคดต่อผู้เป็นพี่ แล้วสั่งเนรเทศจากบุรี สุครีพตกใจก้มกราบบาทา ทูลแก้ต่างตามความเป็นจริงทุกประการ ความที่พาลีเป็นลิงหัวไว หวนนึกเรื่องในอดีตที่ตนทำผิด แย่งว่าที่ภริยาอนุชา รีบฉวยโอกาสนี้ พาลขับสุครีพออกจากเมืองด้วยข้อหา “มึงคิดจะเป็นใหญ่ในธานีแทนกู วันนี้มึงกับกูขาดพี่ขาดน้องกัน เร่งออกจากวังไป ไม่อย่างนั้น มึงตาย” ไม่เพียงปากว่า ซ้ำมือยังคว้าดาบไล่ฟัน ลูกพระอาทิตย์จึงจำหนีไปอยู่ป่า
ที่ว่าลูกพระอินทร์ยัดเยียดข้อหาแก่น้องชาย กลอนไม่ได้เขียนบอกโต้ง ๆ ทว่าครูหนอนฯ ก็ไม่ได้มั่วนิ่มฮิ แต่ตีความจากบทรำพันด้วยความน้อยใจของสุครีพที่ว่า
ครั้งน้องชะลอพระสุเมรุตรง องค์พระอิศรารังสรรค์
ประทานนางดาราเป็นรางวัล ก็เสียธรรม์ชิงไปภิรมยา
ข้านี้มิให้ระคายบาท รักคือบิตุราชนาถา
ควรหรือทำได้ไม่เมตตา ร่ำพลางโศกาพันทวี
ชื่อพาลีธิราชจึงแปลความได้สั้น ๆ ตามประสาครูหนอนฯ ว่า จอมพาล