top of page

ตอนที่ ๒ ทำไมลูกเทพจึงกลายเป็นลิง


มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวโคดมเรืองศรี

ผ่านกรุงสาเกดธานี ไม่มีธิดาแลโอรส

คิดเหนื่อยหน่ายใจในสมบัติ สลัดไปบวชเป็นดาบส

บำเพ็ญภาวนาจำเริญพรต กำหนดสองพันปีมา

จนหนวดนั้นยาวดั่งหญ้ารก ปกทรวงพระอาจารย์ฌานกล้า

หลับเนตรสำรวมวิญญาณ์ ตามเพศชีป่าซึ่งเรียนรู้ ฯ

นกกระจาบป่าเห็นหนวดดาบสเฟื้อยหนา จึงมาอาศัยทำรัง เมื่อตัวเมียวางไข่ ตัวผู้บอกว่าจะออกไปหาเหยื่อ ทว่าบินไปเห็นดอกบัวบาน ดันลงไปจิกกินเพลินใจใหลหลง พอพลบค่ำบัวหุบกลีบ นกเลยกลับบ้านไม่ได้

รุ่งเช้ารีบบินกลับรัง พอมาถึง เมียร้องกรี๊ดใส่ “ไปไหนมาป่านนี้” (สงสัยว่าผ่านไปอีกสองร้อยปี ฉากนี้ก็ยังคุ้นหูคุ้นตาเหมือนเดิมนิ)

นกผู้ชี้แจงแถลงไขถี่ถ้วน นกเมียหันหลังให้พลางพ้อว่า “ไปคบชู้ละไม่ว่า ยังมีหน้ามาปั้นเรื่องเป็นตุเป็นตะ อย่ามาทำเหลี่ยมจัด”

“ถ้าน้องไม่เชื่อ พี่จะให้สัจจา ถ้านอกใจ ขอให้บาปพระดาบสผู้นี้ตกแก่ตัวข้า”

พระฤๅษีไม่เป็นอันบำเพ็ญพรต “มาทำรังก็ไม่ว่า แต่ผัวเมียทะเลาะกัน ทำไมต้องลากกูไปเกี่ยวด้วย กูจะมีบาปอะไร”

นกผู้แจกแจงว่าเป็นกษัตริย์มาบวชทั้งที่ไม่มีลูก จึงขาดผู้สืบวงศ์ขัตติยา บาปนั้นหนักหนาเป็นพ้นนัก นักบวชได้ฟังนกกระจาบ ก็เห็นคล้อยตาม (ง่ายจังฮิ) ทำพิธีเสกนางขึ้นกลางไฟ ให้ชื่อกาลอัจนา แล้วอยู่กินกันมา จนได้ลูกคนแรกเป็นหญิงชื่อสวาหะ

กาลผ่านไป ระหว่างโคดมดาบสไปเก็บผลไม้ป่า เจ้าตรัยตรึงศ์ลอบลงมาเป็นชู้กับนางกาลอัจนา เพราะคิดว่าจะได้เป็นทหารพระอวตารภายหน้า ได้ลูกชายมาหนึ่งคน กายาสีเขียวเหมือนพระอินทร์

หลังจากนั้น พระอาทิตย์มาตีท้ายครัวตามต้นคิด ได้มาอีกหนึ่งชาย กายสีแดงเหมือนพระสุริยัน สมคิดว่าจะได้แบ่งฤทธีไปช่วยพระจักรีปราบมาร

ท่านผู้ชมลองใคร่ครวญวิธีคิดของพวกเทพ ใครกันแน่ที่อยู่ฝ่ายธรรมะ จะช่วยกันสร้างสันติสุขให้โลก ทว่าโดยการเป็นชู้กับเมียคนอื่น ทำเอาครอบครัวนี้บ้านแตกสาแหรกขาด

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างทางไปอาบน้ำ ดาบสอุ้มลูกพระอาทิตย์ ให้ลูกพระอินทร์ขี่หลัง ส่วนนางสวาหะเดินไปเอง นางเดินบ่นน้อยใจลงไปถึงแม่น้ำว่าหลงอุ้มชูลูกเขา แต่ลูกตนให้ทนลำบาก ดาบสซักไซ้กระทั่งได้ความ แล้วตั้งสัตย์อธิษฐาน ก่อนเหวี่ยงทั้งสามลงแม่น้ำ ว่าหากเป็นสายโลหิตข้า ให้ว่ายน้ำกลับมาทันได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ให้กลายเป็นสวา ลูกพระอินทร์กับลูกพระอาทิตย์จึงกลายเป็นลิงด้วยประการฉะนี้

พอกลับมาถึงกุฎี ฤๅษีด่าทอภรรยา แล้วสาปให้กลายเป็นแผ่นศิลา นางกาลอัจนาได้ฟังก็แค้นลูกสาว จึงสาปนางสวาหะว่า

จงไปอ้าปากยืนตีนเดียว เหนี่ยวกินลมอยู่ในไพรสาณฑ์

ยังเชิงขอบเขาจักรวาล ตามคำสาบานของกูนี้

ต่อมึงมีลูกเป็นวานร ฤทธิรอนเลิศล้ำกระบี่ศรี

จึ่งพ้นสาปสิ้นบาปอัปรีย์ ว่าแล้วไปเป็นศีลา ฯ

กล่าวฝ่ายท้าวสหัสนัยน์เห็นโอรสลำบากกลายเป็นลิงป่า จึงลงมาสร้างเมืองให้ชื่อขีดขิน พร้อมกับอ่านมนตร์เรียกบริวารลิงมาให้ จากนั้นขนานนามลูกชายท่านว่ากากาศ ลูกพระอาทิตย์ว่าสุครีพ แล้วสอนพระเวทวิทยา ทั้งพิธีมนตราครบครัน สองลิงก็อยู่สุขสบาย มีสหายต่างเมืองเป็นลิงเช่นกัน ชื่อท้าวมหาชมพูครองเมืองชมพู

ลิงอีกตัวคือผู้ที่หลายคนเห็นว่าเป็นพระเอกของเรื่อง...แถ่น แทน แท้น...พระอิศวรก็ดำริเหมือนกับพระอินทร์และพระอาทิตย์ ทว่าวิธีการต่างกัน ท่านสั่งพระพายเอาเทพอาวุธอันศักดา ทั้งแบ่งกำลังกายาส่วนหนึ่งไปซัดเข้าปากนางสวาหะจนนางตั้งครรภ์ ครั้นถ้วน ๓๐ เดือน

ปีสามเดือนขาลวันอังคาร เยาวมาลย์ก็ประสูติโอรส

เป็นวานรผู้เผ่นออกทางโอษฐ์ เผือกผ่องไพโรจน์ทั้งกายหมด

ใหญ่เท่าชันษาได้โสฬส อลงกตดั่งดวงศศิธร ฯ

หนุมานถือกำเนิดเป็นลิง แต่เกิดแปลกกว่าใครในเรื่อง เพราะเกิดมาอายุ ๑๖ ปี ซ้ำคลอดจากปากแม่ แล้วเหาะขึ้นไปหาวเป็นดาวเป็นเดือน ก่อนลงมาไหว้แม่

ทั้งองค์พระพายเรืองเดช สำคัญว่าบิตุเรศนาถา

กลอนวรรครับที่คัดมานี้สำคัญยิ่งนัก เพราะสำคัญว่าแปลว่าเข้าใจผิด ที่กลอนเรียกหนุมานว่าลูกพระพาย เรียกตามความเข้าใจผิดตอนนี้ เลยมีหลายท่านตีความว่าพ่อแท้ ๆ คือพระอิศวร ส่วนพระพายเป็นผู้นำเชื้อมาผสมเทียม

การอ่านวรรณคดีนอกรั้วโรงเรียนมักเป็นเช่นนี้แล ท่านผู้ชม

ครูหนอนฯ ตีความไปไกลกว่าว่าใครเป็นพ่อหนุมาน ทว่าไม่กล้าเอามาเล่า กลัวโดนข้อหามั่วนิ่ม ถึงกระนั้น กลอนตอนนี้น่าจะแปลความได้ว่าหนุมานอายุ ๑๖ แล้ว พระพายเอาของฝากจากพระอิศวรมาส่งให้นางสวาหะ นางจึงตะโกนเรียกโอรส “ลูกจ๋า ลูกจ๋า ลงมานี่ มาไหว้พระพายสิลูก” หนุมานถึงเข้าใจผิดว่าพ่อที่ตนรอท่ามานานก็คือพระพาย

ต่อจากนั้น พระเอกของเราไปวิ่งเล่นตามประสาวัยซนบวกกับความเป็นสวา ไปเที่ยวหักกิ่งไม้ในสวนพระอุมา จึงโดนสาปให้กำลังถอยลงกึ่งหนึ่ง หนุมานตกใจทูลแก้ตัว “ไม่รู้ว่าเป็นสวนเทพมารดา สำคัญว่าป่าก็ดีใจ” หากน้ำเสียงคงไม่เหน็บแนมอยู่ในที ไม่เหมือนตอนเด็กชายทศพักตร์ตอบท่านเทพอรชุนก่อนหน้านี้

พระแม่จึงว่า “วาจากูดุจเหล็กเพชรลิขิตแผ่นผา หาคืนคำได้ไม่ ต่อเมื่อพระรามลูบหลังจนหางวานร กำลังก็จะคืนดั่งก่อน เอ็งอย่ากังวลไปเลย”

บทเจรจาฉากนี้ตีความได้ว่าหากได้เจ้านายดี รู้จักกระตุ้นขวัญกำลังใจลูกน้อง ไม่ว่าเป็นลิงหรือคนย่อมแสดงความสามารถได้เต็มที่ ทว่าหากเจอเจ้านายแย่ ๆ เอาแต่ดุด่า ความสามารถก็จะถูกลดทอนหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อน

กล่าวฝ่ายพระพายตระหนักถึงอนาคตลูก มาพาโอรสไปฝากตัวกับพระศุลี ให้รับใช้ท่านไปพลางเรียนวิชาจากท่านไปพลาง เช่นเดียวกับที่ขุนแผนพาพลายงามไปฝากตัวกับจมื่นศรีเสาวรักษ์ เป็นการหาความรู้ตามธรรมเนียมไทยแต่เก่าก่อน ก่อนที่เราจะมีระบบโรงเรียนตามกระแสตะวันตกนิยม

เมื่อพระอิศวรเห็นวานรชำนาญฤทธี ก็ twitter (สั่งจิตุบท) ไปแจ้งผ่าน windows (บัญชร) กรุงขีดขิน เรียกพี่น้องสองศรีขึ้นเฝ้า ฝากฝังหนุมานหลานน้าไปอยู่ด้วย พร้อมกับชมพูพานผู้เป็นข้ารับใช้พระองค์มาช้านาน ทั้งสี่ทูลลาเหาะกลับเมือง อยู่กันอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

ตัดฉากฉับ กล่าวฝ่ายฝูงเทวาเทพธิดาสาวสวรรค์อยู่ว่าง ๆ ก็ชวนกันมาร่ายรำทำเพลง ทว่าวงแตกเมื่อนางเมขลามาผสมโรง ถือดวงแก้วมณีกรายฟ้อน แสงสะท้อนไปเตะตารามสูรเหาะขึ้นมาไล่ชิงแก้ว เหล่าเทพเมื่อเจอมารก็...

หน้าซีดตัวสั่นขวัญหาย วุ่นวายไม่สมประดีได้

เสียงมี่อื้ออึงคะนึงไป สุราลัยวิ่งพะปะกัน ฯ

นางฟ้าอุ้มจูงเทวบุตร อุตลุดไปทั้งสรวงสวรรค์

อันฉิ่งกรับทับโทนทั้งนั้น สารพันแตกสิ้นไม่สมประดี ฯ

ชาวสวรรค์เรื่องนี้เจอมารบุกมาครั้งไร เป็นออกอาการเช่นนี้ทุกครั้ง ยังแต่นางเมขลาผู้เดียวหนีเข้ากลีบเมฆ หากหลบไม่พ้นตาขุนมารที่ตามไล่ไม่ลดละ นางจึงเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ รามสูรคว้าตัวชิงแก้วมิได้ก็โกรธา ขว้างขวานไป (กลายเป็นตำนานที่มาของฟ้าฝ่า) ก่อนไล่ต่อ พอมาเจอเทพอรชุนเหาะผ่านหน้าก็ขัดใจ ตวาดว่า “มึงเป็นใครไม่เกรงกู บังอาจมาเหาะตัดหน้า”

“กูชื่ออรชุน เหาะมาโดยทางเมฆา ใช่ว่าเหยียบเศียรขุนมาร” หนำซ้ำยังโวต่อ “ทศกัณฐ์มียี่สิบมือยังสู้กูไม่ได้ มึงมีแค่สองมือ มีหรือจะพ้นมือกู”

สู้กันได้ไม่ถึงครึ่งหน้า มารก็จับข้อเท้าทั้งสองของเทพ ฟาดตัวกระแทกเขาพระสุเมรุเอนทรุด เทพอรชุนตายคาที่ ไม่สมราคาคุย

พระจอมไกรลาสเขาใหญ่เห็นเขาเอียง จึงสั่งจิตุบทกระจายเสียง (จะตีความว่าเป็นวิทยุชุมชุนก็ได้นิ แต่กระจายเสียงได้กว้างไกลกว่าฮิ)

ป่าวร้องทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า พสุธาบาดาลต่ำใต้

ทั้งกรุงขีดขินเวียงชัย ตามในบัญชาพระศุลี ฯ

ครั้นมาพร้อมหน้า ก็เอานาคาพันยอดเขาใหญ่ เหล่านักสิทธิ์วิทยาสุราลัยพร้อมใจเข้าฉุด แต่ไม่ไหว ต่างอ่อนใจหมดแรง สุครีพเห็นดังนั้นขันอาสา เร่งพวกเทวาให้ออกแรงเพิ่ม ส่วนตนเองเอานิ้วจิ้มสะดือภุชงค์สะดุ้งจนขดขนดดึงพระเมรุเขยื้อน ลูกพระอินทร์รีบเอาบ่าเข้าดันให้เขากลับตรงดังเดิม พระสยมภูวนาถตรัสชมเชย แล้วก็แยกย้ายกันไป

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พญากากาศแจ้นมาเข้าเฝ้า ทั้งที่เจ้านายมิได้เรียกหา เจ้าไตรโลกาเห็นหน้าก็รู้ว่ามาขอรางวัล จึงประทานบำเหน็จให้เป็นพาลีธิราช รวมทั้งให้ตรีเพชร ให้พรว่าแม้นสู้กับใคร กำลังกายศัตรูจะลดลงครึ่งหนึ่งมาเพิ่มแก่วานร ก่อนส่งผอบใส่นางดาราฝากไปให้น้องชาย

พระนารายณ์ทูลทัดทานเป็นเชิงเปรียบเทียบว่า “ธรรมชาติภู่ผึ้งหรือจะอดใจคลึงรสบุปผา จะฝากไข่แก่กาก็ผิดไป”

สำนวนท่อนแรกอ่านแล้วเห็นภาพชัดเข้าใจง่าย ทว่าท่อนหลังแปลกหู ชวนนึกถึงอาขยานที่เคยท่องตอนเด็ก “กาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร...” แต่นึกแล้วไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหน แล้วนึกหาอะไรฮิ

พาลีได้ฟังก็ให้สัตย์สาบานว่าหากเอานางมาทำเมีย ก็ขอให้ตนเสียชีวิตด้วยศรพระนารายณ์ แล้วทูลลากลับ เมื่อถึงขีดขินก็ไปที่พระแท่น เปิดผอบพบนาง พิศหน้าตารูปร่างทุกส่วนสัด ยิ่งพิศยิ่งพิศวาสกลุ้ม ถูกความงามครอบงำหน้ามืด ลืมคิดถึงอนุชา ลืมทั้งสัจจาที่สาบาน

แล้วท่านพาลีธิราชผู้มีพ่อเป็นต้นแบบการตีท้ายครัว ก็กลายเป็นต้นตำรับการแย่งเมียคนอื่น

Featured Posts
bottom of page